UFABETWIN บุรีรัมย์ – เมืองทอง : เจาะต้นตอที่มาศึกแห่งศักดิ์ศรีลูกหนังเมืองไทย
“แพ้ใครก็ได้แต่ไม่แพ้เมืองทอง” คำประกาศกร้าวอันเป็นที่คุ้นชินจาก เนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้บ่งบอกถึงความเป็นคู่แค้นบนสังเวียนฟุตบอลของสองมหาอำนาจลูกหนังเมืองไทยได้เป็นอย่างดี
ไม่เพียงแค่นักเตะในสนามเท่านั้น แต่ทั้งสองทีมยังต่อสู้ชิงดีชิงเด่นกันนอกสังเวียนมานานนับ 10 ปี จนการเจอกันทุกครั้งได้กลายเป็นศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครยอมใคร
ตลอดระยะเวลาหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วทำไมทั้งสองทีมจึงกลายมาเป็นคู่อริกัน
จากเพื่อนสู่คู่แข่ง
เมืองทอง ยูไนเต็ด และ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ถือเป็นสองสโมสรยักษ์ใหญ่ในวงการฟุตบอลไทยที่ครองความสำเร็จมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะในช่วงปี 2552-2561 ที่โทรฟี่แชมป์ไทยลีกกลายเป็นสมบัติผลัดกันชมอยู่กันแค่สองทีม ทำให้ ณ เวลานั้นทั้งสองสโมสรจึงเปรียบเสมือนเป็นคู่แข่งแย่งชิงความสำเร็จกันโดยตรง
ความเป็นศัตรูกันของทั้งคู่นั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ค่อย ๆ ก่อตัวทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จากในสนามสู่นอกสนาม
เมืองทอง ยูไนเต็ด ถือเป็นรุ่นพี่ที่เข้ามาบุกเบิกในวงการฟุตบอลไทยก่อน พวกเขาสร้างความฮือฮาด้วยการคว้าแชมป์ 3 ระดับชั้นภายใน 3 ปี ไล่ตั้งแต่ดิวิชั่น 2 (2550) ต่อด้วยดิวิชั่น 1 (2551) และไทยลีก (2552) ภายใต้ขุมกำลังดีกรีระดับทีมชาติไทย พร้อมด้วยการจัดการที่พยายามยกระดับทีมสู่การเป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอย่างเต็มตัว จนสถาปนาตัวเองก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรชั้นนำของเมืองไทยที่แฟนบอลจับตามอง
ในเวลาที่คาบเกี่ยวกันนั้นเอง เนวิน ชิดชอบ ที่อยู่ระหว่างถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองได้เบนเข็มมาที่วงการฟุตบอล โดยเทคโอเวอร์สโมสรการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เปลี่ยนชื่อเป็น บุรีรัมย์ พีอีเอ ก่อนจะย้ายรังเหย้ามาที่จังหวัดบุรีรัมย์ และส่งทีมลุยศึกไทยลีกเต็มตัวครั้งแรกในปี 2553
ความสัมพันธ์ของทั้งสองทีมในตอนนั้นเรียกได้ว่ารักใคร่กันดีเหมือนพี่น้อง ถึงขนาดที่ “กิเลนผยอง” ยอมปล่อยผู้เล่นคนสำคัญซึ่งมีพื้นเพบ้านเกิดเป็นคนบุรีรัมย์ อย่าง จักรพันธ์ แก้วพรม, สุริยา ดอมไธสง และ อดิศักดิ์ ไกรษร ย้ายไปเป็นกำลังให้ทัพ “ปราสาทสายฟ้า” เลยทีเดียว
ขณะเดียวกัน “สยามกีฬา” สื่อกีฬายักษ์ใหญ่ในยุคนั้นซึ่งมีเจ้าของเดียวกับสโมสรเมืองทองยังได้ส่งผู้สื่อข่าวประจำภูมิภาคไปเกาะติดประจำการที่จังหวัดบุรีรัมย์ และคอยช่วยประชาสัมพันธ์ให้กับทีมเป็นอย่างดี ภายใต้การต้อนรับอันอบอุ่นจากเจ้าบ้าน
การเข้ามาของบุรีรัมย์ทำให้กระแสฟุตบอลไทยคึกคักมากยิ่งขึ้น ภาพต่าง ๆ ถูกโปรโมตในแง่ที่ดี ก่อนจะทำผลงานในสนามได้ดีตามไปด้วย โดยฤดูกาลแรกพวกเขาไปได้ไกลถึงรองแชมป์ โดยมีคะแนนตามหลังเมืองทองฯ เพียง 4 แต้ม ก่อนที่ปีต่อมาในฤดูกาล 2554 จะผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกได้สำเร็จ ทำให้จากสถานะความเป็นพี่น้องจึงแปรเปลี่ยนเป็น “คู่แข่ง” อย่างเต็มตัว โดยเฉพาะกับแฟนบอลที่เริ่มมีการแขวะกันไปแซวกันมาระหว่างแฟนบอลทั้งสองทีมมากขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ทุกอย่างก็ยังคงเป็นไปตามวิถีของฟุตบอล เมื่อมีทีมก้าวขึ้นมาขับเคี่ยวแย่งครองความสำเร็จกัน ย่อมมีการบลัฟการหมั่นไส้กันเป็นธรรมดา ทว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสองทีมเริ่มกลายเป็นศัตรูกันมากขึ้นนั้นกลับไม่ใช่เรื่องในสนาม แต่เป็นผลพวงที่มาจากความไม่ลงรอยกันนอกสังเวียน
การเมืองนอกสังเวียน
เท้าความกลับไปเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ในสมัยนั้น สโมสรเมืองทอง ยูไนเต็ด มีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยุคที่มี วรวีร์ มะกูดี นั่งแท่นเป็นนายกสมาคม ไม่ว่าจะเป็นต้นกำเนิดของสโมสรที่มาจากทีมโรงเรียนหนองจอกพิทยานุสสรณ์ ซึ่งมี วรวีร์ เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและเป็นผู้จัดการทีมมาก่อน
ตลอดจนการที่สมาคมฟุตบอลฯ มี บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จํากัด (มหาชน) กลุ่มทุนใหญ่เจ้าของทีมเมืองทองฯ ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลสิทธิประโยชน์ให้
ซึ่งในช่วงแรกที่ก่อตั้งทีมนั้นฝั่ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ยังคงมีความสัมพันธ์อันดีกับสมาคมฟุตบอลฯ ด้วยเช่นกัน โดย เนวิน ชิดชอบ ยอมรับว่าเขาเป็นหนึ่งในคนที่ให้การสนับสนุนวรวีร์จนได้เป็นนายกสมาคมฯ ต่ออีกสมัยในการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2554
ทว่าหลังจากนั้นบุรีรัมย์เริ่มมีข้อผิดใจกับทางสมาคมฯ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะปัญหาเรื่องการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินที่ไม่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นตามที่ได้ให้สัญญาไว้ก่อนการเลือกตั้ง และจุดระเบิดที่เป็นเหตุการณ์สุดคลาสสิกของวงการฟุตบอลไทย นั่นก็คือการรับมอบถ้วยแชมป์ไทยลีกในฤดูกาล 2554 ซึ่งมีขึ้นภายหลังการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ ไม่นาน
ซีซั่นนั้น “ปราสาทสายฟ้า” สามารถคว้าแชมป์ได้ก่อนจบฤดูกาล แต่ทางสมาคมฟุตบอลฯ ปฏิเสธพิธีมอบถ้วยแชมป์ให้กับบุรีรัมย์ในเกมสัปดาห์รองสุดท้าย ซึ่งพวกเขาจะได้เล่นในบ้าน แต่ยืนยันว่าจะจัดพิธีมอบแชมป์ในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลที่บุรีรัมย์ต้องไปเยือนเชียงรายแทน
ทำให้ทางสโมสรไม่พอใจและส่งทีมงานเพียง 2 คนมาเป็นผู้รับถ้วยแทนโดยปราศจากนักเตะและผู้บริหารทีม ซึ่งเหมือนเป็นการหักหน้าสมาคมอย่างจงใจ เพราะในวันนั้นทางสมาคมได้เชิญ เซอร์ เดวิด ริชาร์ดส ประธานพรีเมียร์ลีก อังกฤษ มาเป็นประธานในพิธีด้วย
หลังจากวันนั้นบุรีรัมย์เริ่มมีข้อพิพาทบาดหมางกับทางสมาคมฟุตบอลฯ เพิ่มมากขึ้น ทั้งเรื่องการทำหน้าที่ของผู้ตัดสินที่ทีมมองว่าเป็นฝ่ายเสียประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงไม่พอใจกับการบริหารจัดการของทีมงานของวรวีร์ในหลาย ๆ ด้าน ก่อนจะตัดสินใจหันหลังให้กับสมาคมฟุตบอลเต็มตัว พร้อมเดินหน้าเป็นฝ่ายค้านหวังที่จะล้มวรวีร์ลงจากตำแหน่ง
“ผมขอเรียนว่า 2 ปีก่อน ในฐานะประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผมได้ให้การสนับสนุนนายวรวีร์ เป็นนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย แต่เพราะนายวรวีร์ ไม่ทำงานตามนโยบายที่ประกาศไว้ วงการฟุตบอลไทยจึงไม่พัฒนาตามที่ควรจะเป็น การเลือกตั้งครั้งนี้ผมจึงประกาศอย่างเปิดเผยว่า ในฐานะประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ผมไม่สนับสนุนนายวรวีร์ อีกต่อไป และพร้อมจะสนับสนุนผู้สมัครคนใดก็ได้ที่ไม่ใช่นายวรวีร์” เนวิน ระบุผ่านเพจ ก่อนการเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลฯ ในปี 2556
บุรีรัมย์เดินหน้าตรวจสอบสมาคมฟุตบอลฯ อย่างหนัก ทั้งเรื่องการบริหาร งบประมาณ การทำหน้าที่ของผู้ตัดสิน ตลอดจนประเด็นสำคัญอย่าง “สิทธิประโยชน์” ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเกี่ยวพันไปถึงสยามสปอร์ตซึ่งเป็นเจ้าของทีมเมืองทองที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยเช่นกัน
ทำให้ในเวลานั้นนอกจากแฟนบอลของทั้งสองทีมจะบลัฟใส่กันแล้ว ฝ่ายบริหารเองก็ยังมีความเห็นในหลาย ๆ ด้านที่แตกต่างกัน และต่างฝ่ายต่างเดินหน้าพัฒนายกระดับทีมอย่างเต็มที่เพื่อฟาดฟันกัน ทำให้การเผชิญหน้ากันในสนามจึงร้อนระอุไปทุกครั้ง
ในสนามไม่มีใครยอมใคร
การเดินหน้าพัฒนาทีมเพื่อประกาศศักดาความสำเร็จของทั้ง เมืองทอง และ บุรีรัมย์ ได้รับความสนใจจากคนทั้งประเทศ เสมือนเป็นการแข่งขันกันของ 2 ขั้วมหาอำนาจแห่งวงการฟุตบอลไทย จนทำให้แม้จะไม่ใช่แฟนฟุตบอลตัวยงก็ยังเฝ้าติดตามทั้งสองทีมที่ต่างทุ่มทุนเสริมทัพซื้อผู้เล่นระดับท็อปที่ดีที่สุดทั้งนักเตะไทยและต่างชาติ
ปี 2555 เมืองทอง สร้างความฮือฮาด้วยการคว้าตัวนักเตะอย่าง มาริโอ ยูรอฟสกี นักเตะทีมชาติมาซิโดเนีย ที่ก่อนหน้ามาเมืองทอง เคยมีข่าวกับไบเออร์ เลเวอร์คูเซน, รี กวาง ชอน กองหลังทีมชาติเกาหลีเหนือชุดลุยฟุตบอลโลก 2010 ตลอดจนการได้ สลาวิซา โยคาโนวิช อดีตนักเตะเชลซีมาเป็นกุนซือ (ซึ่งภายหลังเฮดโค้ชรายนี้ได้ไปคุมทีมในอังกฤษ ในพรีเมียร์ลีกอีกหลายทีม) จนกลับมาคว้าแชมป์ในซีซั่นดังกล่าวได้แบบไร้พ่าย
จากนั้น บุรีรัมย์ ตอบโต้ด้วยการใช้ “สแปนิชคอนเน็กชั่น” นำโดย การ์เมโล กอนซาเลซ และ ออสมาร์ อิบันเญซ พาทีมกลับมาคว้าแชมป์ลีกอีกครั้ง ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็น “บราซิเลียนคอนเน็กชั่น” นำโดย ดิโอโก หลุยส์ ซานโต กับ กิลแบร์โต มาเชน่า ที่ช่วยยกระดับฟุตบอลไทยไปอีกขั้น พร้อมทำให้ “ปราสาทสายฟ้า” ครองความยิ่งใหญ่รวมแล้วสามารถคว้าแชมป์ไทยลีกได้ถึง 6 สมัย ภายในระยะเวลา 10 ปี โดยยังเป็นทีมแรกที่สามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ 3 สมัยติดต่อกัน ในช่วงปี 2556-2558
ที่สำคัญช่วงนั้น บุรีรัมย์ ยังเป็นฝ่ายข่ม เมืองทอง อยู่แทบจะข้างเดียวในทุกนัดที่พบกัน จนกลายเป็นประโยคเด็ดของเนวินที่กล่าวไว้ว่า “งูเหลือมกับเชือกกล้วย”
“ผมบอกไว้ก่อนแล้วว่าเราแพ้ใครแพ้ได้แต่ต้องไม่แพ้เมืองทอง นั่นคือสิ่งที่แฟนบอลบุรีรัมย์สั่งสอนผมมาและเราก็ทำให้แฟนบอลมีความสุข จากนี้ก็จะเป็นแบบนี้ต่อไปเรื่อย ๆ เมืองทองกับเราก็จะเหมือนงูเหลือมกับเชือกกล้วยอีกทีม” เนวิน โวหลังจบเกมที่ทีมเป็นฝ่ายชนะ 2-0 คว้าแชมป์ถ้วยพระราชทาน ก. ปี 2556 พร้อมรักษาสถิติไม่แพ้เมืองทองเป็นนัดที่ 8 ติดต่อกัน
ขณะที่ “กิเลนผยอง” แม้จะถูกกลบรัศมีไปหลังจากคว้าแชมป์ 2 สมัยติดในปี พ.ศ. 2552-2553 โดยต้องปล่อยให้ทีมคู่อริเป็นฝ่ายเฉิดฉายอยู่ข้างเดียว แต่พวกเขาก็ไม่ยอมแพ้และยังคงทำทุกวิถีทางจนก้าวขึ้นมาสอดแทรกคว้าแชมป์ได้เพิ่มอีก 2 สมัยในปี 2555 และ 2559
โดยเฉพาะในปี 2559 หลังจากที่ตกเป็นรองมาหลายปี เมืองทอง ตอบโต้คืนด้วยการกวาดสตาร์ทีมชาติไทยเข้ามาร่วมทัพจนถูกขนานนามว่าเป็น “กาลาติกอสเมืองไทย” ทั้ง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธนบูรณ์ เกษารัตน์, ทริสตอง โด และ พีระพัฒน์ โน้ตชัยยา ก่อนจะทำผลงานระดับมาซเตอร์พีซ บุกไปถล่ม บุรีรัมย์ แชมป์เก่าที่กำลังนำเป็นจ่าฝูงถึงถิ่น 3-0 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ขาดลอยที่สุดนับตั้งแต่เจอกันมาในเวลานั้น พร้อมหยุดสถิติไม่ชนะคู่แข่งทีมนี้นานถึง 20 เกมได้สำเร็จ
นอกจากนี้ในเลกสองของฤดูกาลดังกล่าว พวกเขาได้สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการดึง ธีราทร บุญมาทัน มาจากบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ของธีราทรมีรอยร้าวในใจกับสโมสรเดิม
การย้ายตัวครั้งนั้นของ “ธีราทร” ถ้าเปรียบให้เห็นภาพ มันเหมือนกับความรักของชาย-หญิงคู่หนึ่งที่เริ่มระหองระแหง และอริของฝ่ายชายก็แทรกตัวเข้าไปเป็นมือที่ 3 จนท้ายที่สุดความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ขาดสะบั้น … เหตุการณ์ครั้งนั้นมันเหมือนเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่โดยเมืองทอง
การที่ขวัญใจของทีมที่ทั้งรักทั้งเอ็นดูมายาวนานกว่า 6 ปี ย้ายไปร่วมทีมคู่อริ เป็นภาพที่บาดใจแฟนบอลบุรีรัมย์ยิ่งนัก ทุกย่างก้าวที่แบ็คซ้ายทีมชาติไทยย่างกรายในสนาม ทุกจังหวะที่เจ้าตัวสัมผัสบอล เต็มไปด้วยเสียงโห่จากอดีตกองเชียร์ตั้งแต่เกมแรกที่ทั้งสองทีมโคจรมาพบกัน (แม้ปัจจุบัน ธีราทร บุญมาทัน ได้ย้ายกลับมาร่วมทีมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด และกลับมามีความสัมพันธ์ที่ดีแล้วก็ตาม)
แต่ละยุคสมัย … ไม่ว่าฝ่ายไหนจะครองความยิ่งใหญ่ แต่การเจอกันทุกครั้งต่างฝ่ายต่างทุ่มเทเต็มที่จนเป็นแมตช์คุณภาพที่ประทับใจแฟนบอล
การเผชิญหน้ากันครั้งที่ 35
แม้ว่าในช่วง 2 ฤดูกาลหลังสุด ฟอร์มของทั้งสองทีมจะดร็อปลงจนเปิดโอกาสให้ทีมหน้าใหม่อย่าง เชียงราย ยูไนเต็ด และ บีจี ปทุม ยูไนเต็ด ก้าวขึ้นมาคว้าแชมป์ลีก ทว่าการเจอกันของ เมืองทอง และ บุรีรัมย์ ก็ยังคงเป็นที่จับตาของแฟนบอลมาโดยตลอด
ในฤดูกาลนี้ “ปราสาทสายฟ้า” สามารถเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาพร้อมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการรั้งจ่าฝูง โดยลงแข่ง 17 นัด มี 38 คะแนน เดินหน้าลุ้นแชมป์สมัยที่ 8 อย่างเต็มตัว
ทว่าในวันเสาร์ที่ 29 มกราคมนี้ พวกเขาจะต้องบุกไปเยือนคู่อริอย่าง เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่เริ่มทำผลงานได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ของตาราง โดยแข่ง 18 นัด มี 30 คะแนน ที่สนามธันเดอร์โดม สเตเดียม เวลา 18.00 น. ซึ่งจะเป็นอีกครั้งที่ไม่ใช่งานง่ายแน่นอน
การเผชิญหน้ากันของทั้งคู่ในครั้งนี้นับเป็นการพบกันครั้งที่ 35 รวมทุกรายการ โดยการเจอกันก่อนหน้านี้ บุรีรัมย์ เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไปถึง 17 นัด เสมอ 11 นัด และแพ้เพียงแค่ 6 นัด โดยหากนับเฉพาะในไทยลีก 23 นัด “ปราสาทสายฟ้า” ชนะ 9 นัด เสมอ 10 นัด และแพ้ 4 นัด
แต่นั่นเป็นเพียงแค่สถิติ เพราะทุกครั้งที่เจอกันทั้งคู่ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าไม่มีใครยอมใคร และสิ่งสำคัญที่สุดคือ แม้จะแก่งแย่งความเป็นใหญ่และมีความไม่ลงรอยกันมานานนับทศวรรษ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าทั้งสองทีมถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนและยกระดับฟุตบอลไทยอย่างแท้จริง
ทุกดราม่าที่กลายเป็นกระแสให้คนติดตาม ทุกการทุ่มทุนดึงนักเตะฝีเท้าดีมาร่วมทีม ทุกความพยายามของผู้บริหารที่มุ่งมั่นพัฒนาทีมสู่ความเป็นมืออาชีพ ทุกสีสันและผลงานของผู้เล่นที่เกิดขึ้นในสนาม ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ฟุตบอลไทยพัฒนามาจนถึงวันนี้